ความต้านทานResistance
ความต้านทานซึ่งขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของตัวนำ อุณหภูมิ และ ความถี่ ซึ่งทำให้เกิด Skin Effect
ค่าความต้านทานประสิทธิผล (effectiveresistance)คือค่าความต้านทานจริงของสายส่งหาได้จาก
ความต้านทานซึ่งขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของตัวนำ อุณหภูมิ และ ความถี่ ซึ่งทำให้เกิด Skin Effect
ค่าความต้านทานประสิทธิผล (effectiveresistance)คือค่าความต้านทานจริงของสายส่งหาได้จาก
ค่าความต้านทานกระแสตรง DIRECT-CURRENTRESISTANCE
l ความยาวของตัวนำ (conductorlength)
A พื้นที่หน้าตัดของตัวนำ (conductorcross-sectionalarea)
ผลจากอุณหภูมิต่อค่าความต้านทาน - EFFECTOFTEMPERATUREONRESISTANCE
- R1,R2 : เป็นค่ารีซิสแตนซ์ของตัวนำที่อุณหภูมิ t1 และ t2
- t1,t2 : เป็นค่าอุณหภูมิของตัวนำ หน่วย เซลเซียส (Celsius)
- T : เป็นอุณหภูมิที่ทำให้วัสดุมีค่าความต้านทานเป็นศูนย์
สกินเอฟเฟกต์SKIN-EFFECT
คือปรากฏการณ์ทางไฟฟ้าที่ทำให้ค่าความหนาแน่นของกระแสรอบผิวตัวนำสูงกว่าภายในโดยจะเกิดเฉพาะในกระแสสลับเท่านั้นทำให้ ค่าความต้านทานของสายตัวนำ เปลี่ยนแปลงตามความถี่ของไฟฟ้า
Non-uniform current flow เกิดจาก Magnetic flux ที่อยู่ด้านในสูงกว่าด้านนอกทำให้มีค่า Reactance สูงกว่าด้านนอกกระแสจะไหลที่ผิวมากขึ้นเมื่อความถี่มากขึ้น ทำให้ต้องใช้ตัวนำขนาดใหญ่ขึ้น
อัตราส่วนความต้านทานสกินเอฟเฟกต์ - SKIN-EFFECTRESISTANCERATIO
ดังนั้น ค่าอัตราส่วน ระหว่างความต้านทาน ac และ dc ซึ่งเราเรียกว่า Skin-Effectresistanceratio จะเป็น
โดยปกติค่า Rac/Rdcจะขึ้นอยู่กับตัวแปรสามตัวได้แก่
• Permiability (m) ความซึมซาบสนามแม่เหล็ก
• Cross-section area of conductor (A)
• Frequency (Hz)
ค่า Rac/Rdc คำนวณหาได้โดยใช้ Bessel function
การวัดค่าความจุไฟฟ้าโดยใช้โวลต์มิเตอร์กระแสสลับ
ใช้โวลต์มิเตอร์ที่มีอิมพีแดนซ์ขาเข้าสูง
ในการหาค่าความจุไฟฟ้าที่ต้องการ
แต่วิธีนี้จะใช้ได้เฉพาะที่ตัวเก็บประจุมีค่าไม่น้อยกว่า 0.001µF โดยมีความถูกต้องประมาณ 10% ซึ่งค่าความคาดเคลื่อนเกิดจาก
ความไม่แน่นอนของความถี่และแรงดันที่ป้อน และความไม่แน่นอนของเครื่องวัด
โดยการต่ออนุกรมตัวเก็บประจุที่ต้องการทราบค่ากับตัวต้านทาน
โดยให้แรงดันกระแสสลับที่มีค่าน้อยกว่าพิกัดของตัวเก็บประจุ ดังรูป 1
จากนั้นวัดแรงดันคร่อม R และ C แยกจากกัน และสามารถหาค่า
Irmsได้ดังนี้
Irms = VR/R
เมื่อหา Irmsได้
จะสามารถหาค่าตัวเก็บประจุได้จาก
C = I/2πfVC
**เมื่อ VRและ VCเป็นค่า rms
ค่าความต่างศักย์ระหว่างจุด a และ b อันเนื่องมาจากผลของประจุ qc
ค่าความจุไฟฟ้าของสายส่ง
- ความต่างศักย์ที่สูงทำให้เกิด C เสมือนต่อขนานตลอดแนวสาย
- C สูง ๆ ทำให้เกิด Charging Current มาก
- Charging Current มาก ทำให้ Loss สูงมากขึ้นด้วย
- มีผลต่อระดับแรงดัน
- มีผลต่อประสิทธิภาพของระบบ
- มีผลต่อค่าองค์ประกอบกำลัง
การคำนวณหาค่าประจุไฟฟ้าทำได้โดย
เมื่อ Q เป็นค่าประจุ และ V เป็นค่าความต่างศักย์ระหว่างสายสองเส้น
IC : Charging Current
Ferranti Effect
ปรากฏการที่แรงดันที่จุดปลายสายส่ง ขณะโหลดต่ำ หรือ ไม่มีโหลดมีแรงดันสูงกว่าที่จุดส่งเนื่องจากผลของกระแสอัดประจุซึ่งมีมุมนำหน้าแรงดันไฟฟ้าเป็นมุม 90 องศา
ความจุไฟฟ้าของระบบสายสองเส้น - [CAPACITANCEOFATWO-WIRELINE]
ความจุไฟฟ้าของระบบสายส่งหนึ่งเฟส - [CAPACITANCEOFSINGLE-PHASEOVERHEADTRANSMISSIONLINE]
ความจุไฟฟ้าของระบบสายส่งสามเฟส [CAPACITANCEOFATHREE-PHASELINE]
สายส่งสามเฟสที่มีระยะห่างเท่ากัน
ภาพหน้าตัดแสดงสายตัวนำสามเฟส ที่ระยะห่างเท่ากันทุกเฟส
ความต่างศักย์ระหว่างจุด a และ b อันเนื่องจากผลประจุ qa
ความต่างศักย์ระหว่างจุด a และ b อันเนื่องจากผลประจุ qb
ความจุไฟฟ้าของระบบสามเฟสที่วางระยะห่างเท่า ๆ กัน
สายส่งสามเฟสที่มีระยะห่างไม่เท่ากัน - [ATHREEPHASELINEWITHUNSYMMETRICALSPACING]
เมื่อมีการ Transposition ที่สมบูรณ์ตลอดช่วงสาย
เมื่อ เฟส a ตำแหน่ง 1, เฟส b ตำแหน่ง 2, เฟส c ตำแหน่ง 3
เมื่อเฟส a ตำแหน่ง 2, เฟส b ตำแหน่ง 3, เฟส c ตำแหน่ง 1
เมื่อเฟส a ตำแหน่ง 3, เฟส b ตำแหน่ง 1, เฟส c ตำแหน่ง 2
การวัดค่าความเหนี่ยวนำโดยใช้โวลต์มิเตอร์กระแสสลับ
ต่อตัวเหนี่ยวนำที่ต้องการทราบค่า
อนุกรมกับตัวต้านทานปรับค่าได้ ดังรูปที่2
ป้อนแรงดันกระแสสลับจนแรงดันที่ตกคร่อมตัวเหนี่ยวนำ(L) มีค่าเท่ากับ แรงดันตกคร่อมที่ตัวต้านทาน(R) ซึ่งจะทำให้อิพีแดนซ์ของ
R และ L เท่ากัน
และจะสามารถหาค่าตัวเหนี่ยวนำได้จาก
เมื่อ R คือ ความต้านทานที่ปรับมาให้สมดุล
rคือ ค่าความต้านทานกระแสตรงของขดลวดที่วัดได้
fคือ ความถี่
ค่าความเหนี่ยวนำและรีแอ็คแตนซ์- INDUCTANCEANDREACTANCE
Inductance – ความเหนี่ยวนำ เกิดจากการที่กระแสสลับไหลทำให้เกิดเส้นแรงแม่เหล็กคล้องตัวนำเปลี่ยนแปลงตามเวลา
ค่า Inductance และ Reactance ของสายส่งเหนือดินนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบมากมาย ซึ่งได้แก่ ชนิดสายตัวนำ – จำนวนเฟส, ลักษณะการวางสายของแต่ละเฟส – ระยะห่าง, จำนวนวงจรในเสาส่ง – เสาต้นเดียวกัน หรือต่างเสากันซึ่งจะทำให้ค่า Inductance ต่างกันไปในการคำนวณจะเริ่มจากการหาค่าความสัมพันธ์ระหว่าความเหนี่ยวนำกับ flux leakage จากนั้นจะคำนวณหาค่าต่าง ๆ ได้แก่รัศมีเฉลี่ยของสายเชิงเรขาคณิต (geometricmeanradius -GMR), ระยะห่างเฉลี่ยภายในสายเชิงเรขาคณิต (self-geometricmeandistance - Self-GMD), ค่าระยะห่างเฉลี่ยระหว่างสายเชิงเรขาคณิต ( mutual-geametric mean distance; Mutual-GMD)
ค่าความเหนี่ยวนำในตัวนำเดี่ยว - INDUCTANCEOFASINGLEISOLATEDCONDUCTOR
มีการพิจารณาอยู่ 2 กรณีคือ
1. ในกรณีที่กระแสไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดของตัวนำสม่ำเสมอทั่ว
2. ในกรณีที่กระแสไหลเฉพาะพื้นผิวรอบนอก ๆ ของตัวนำ
ในสายส่งเราจะต้องคำนึงถึงผลของเส้นแรงแม่เหล็กในเนื้อตัวนำ และ นอกตัวนำซึ่งจะทำให้ได้ค่า
Total Self Inductance L =Lint + Lext
พื้นที่หน้าตัดของตัวนำทรงกระบอกแสดงสนามแม่เหล็กภายในตัวนำ
ตัวนำและสนามแม่เหล็กด้านนอก
การกระจายของความหนาแน่นสนามแม่เหล็ก - MAGNETICFIELDDISTRIBUTION
จากรูปฝั่งซ้าย เป็นกรณีที่ลวดตัวนำได้รับผลของ skineffect จะเห็นว่า
(a) การกระจายของเส้นแรงแม่เหล็กด้านซ้ายของตัวนำ
(b) การกระจายของเส้นแรงแม่เหล็กข้างในตัวนำ ซึ่งมีค่าเท่ากับศูนย์
(c) แสดงการกระจายของเส้นแรงแม่เหล็กด้านขวาของตัวนำ
จากรูปฝั่งขวา เป็นกรณีที่ลวดตัวนำมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดสม่ำเสมอ (uniformcurrentdistribution) จะเห็นว่า
(a) และ(c) การกระจายเส้นแรงแม่เหล็กข้างนอกตัวนำเหมือนกรณีแรก
(b) การกระจายเส้นแรงแม่เหล็กข้างในตัวนำ เมื่อ mex = min
(d) การกระจายเส้นแรงแม่เหล็กข้างในตัวนำ เมื่อ mex<min
การวัดค่าอิมพีแดนซ์ที่ความถี่สายส่งกำลัง
ส่วนประกอบของวงจรที่ถูกใช้ในความถี่สายส่งกำลังหรือ ไฟบ้านเช่น บัลลาสต์ ตัวเก็บประจุของสตาร์มอเตอร์ ในกาวัดค่าอิมพีแดนซ์จำเป็นต้องวัดที่ความถี่ที่มันถูกนำไปใช้งานปกติ
Z = ค่าอิมพีแดนซ์
R = ค่าความต้านทาน
R = ค่าความต้านทาน
XC = 2πfC
XL = 2πfL
X = ค่ารีแอกแตนซ์(ตัวเก็บประจุ (XC) หรือ ตัวเหนี่ยวนำ (XL))
เเหล่งอ้างอิง
www.eng.mut.ac.th%2Fupload_file%2Farticle%2F203.ppt&ei=8KKAUqyjHoeErQft8YDQAw&usg=AFQjCNG-tcyFw0dE5XkjW-S_NyS9hJR9-g&sig2=91c_jGed-hQWCnObNIClHQ
www.eng.mut.ac.th%2Fupload_file%2Farticle%2F205.ppt&ei=8KKAUqyjHoeErQft8YDQAw&usg=AFQjCNFiE149cj0B0zcCkniP5XgXaxDs7g&sig2=XGwwFvAnn7oKk90eK3SPmg
หนังสือ การวัดเเละเครื่องวัดไฟฟ้า โดย เอก ไชยสวัสดิ์
ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://pansak.50megs.com/Measu01/sheet01.html
ทางผู้จัดทำ ขอขอบคุณทุกๆที่ได้เข้ามาใช้ประโยชน์จาก Blog เผยเเพร่ข้อมูลเเห่งนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย